ใครๆ ก็รู้คุณสมบัติของแอปเปิ้ลเป็นอย่างดี ผลไม้ชนิดนี้มีสรรพคุณหลากหลายมาก แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่ได้รับการยอมรับกันว่าดีต่อสุขภาพ

ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำว่าให้กินวันละหนึ่งผลก็จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมากมาย และล่าสุดนี้พบว่า แอปเปิ้ลช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ดีอีกด้วย โดยเฉพาะ เปลือกแอปเปิ้ล มีประโยชน์เป็นอย่างมาก

วารสารวิชาการป้องกันมะเร็งแห่งยุโรป ได้รายงานว่า จากการศึกศาโดยให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งกินผลแอปเปิ้ลเป็นประจำสัปดาห์ละ 10 ครั้ง พบว่าโรคมะเร็งลุกลามได้น้อยลงอย่างมาก ผู้ป่วยที่กินแอบเปิ้ลวันละ 1 ผลนั้นปรากฏว่าโรคมะเร็งทะเลาลงในอัตราร้อยละ 0.65 ส่วนผู้ป่วยที่กินแอบเปิ้ลเกินวันละ 1 ผล ปรากฏว่าอันตรายของโรคมะเร็งลดลงเกือบครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว

จากผลการศึกษานั้น นักวิจัยคาดการณ์ว่าสารฟลาโวนอยด์ที่มีปริมาณสูงในเปลือกแอปเปิ้ลนั้น เป็นตัวช่วยทำหน้าที่ล้างพิษมะเร็ง และช่วยป้องกันโมเลกุลหรืออนุมูลอิสระไม่ให้ทำอันตรายเนื้อเยื่อ รวมถึงยับยั้งอาการตั้งต้นของโรคมะเร็ง และการเติบโตกับขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วของเซลล์มะเร็ง ยังลดลงอีกด้วย และยังพบว่าเปลือกของแอปเปิ้ลนั้น มีสารฟลาโวนอยด์ ที่มีหน้าที่ล้างพิษมากกว่าในเนื้อแอปเปิ้ลถึง 5 เท่า

ตามปกติแอปเปิ้ล 1 ผล จะมีวิตามินซีซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารแอนติออกซิแดนท์สูงเท่ากับวิตามินซี 1,500 มิลลิกรัม มากกว่าปริมาณที่แนะนำถึง 15 เท่า และเมื่อเร็วๆนี้มีรายงานการวิจัยเกี่ยวกับเปลือกของแอปเปิ้ล ซึ่งเป็นส่วนที่มีสารพฤษเคมีที่ช่วยป้องกันมะเร็ง นักวิจัยได้สกัดสารสีแดงของเปลือกแอปเปิ้ลพันธุ์เรด ดิลิเซียส (Red Delicious) 24 ปอนด์ และทดสอบผลของสารต้านมะเร็งที่มีในแอปเปิ้ลกับเนื้อเยื่อตับของคนที่มีเซลล์มะเร็งเต้านมและเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ พบว่า เปลือกของแอปเปิ้ลมีสาร Triterpenoids 13 ชนิด ที่มีสารต้านมะเร็งสูง

เปลือกแอปเปิ้ล ป้องกันมะเร็ง การป้องกันมะเร็งลำไส้ ด้วยเปลือกแอปเปิ้ล

เปลือกของแอปเปิ้ล ยังประกอบไปด้วยสารแอนติออกซิแดนท์โพลีฟีนอลหลายชนิด เช่น สารโปรแอนโธไซยานิดินส์ ช่วยปกป้องอันตรายจากแสงแดดให้กับผลไม้ กระตุ้นให้เซลล์ทำลายตัวเองเพื่อป้องกันการเจริญของเซลล์มะเร็งอีกด้วย และยังมีสารเคมีตัวหนี่งที่ชื่อว่า ursolic acid ใครที่สนใจฟิตหุ่นอยู่ควรจำชื่อสารตัวนี้ไว้ให้ดี เพราะจากผลการทดลองล่าสุดของทีมนักวิจัยที่นำโดย Christopher Adams แห่งมหาวิทยาลัยไอโอวา พบว่า ursolic acid สามารถช่วยเพิ่มการเจริญของกล้ามเนื้อในหนูทดลองและยังช่วยลดอาการเสื่อมสภาพของกล้ามเนื้อที่เกิดจากการถูกกักขังด้วย

เหตุผลที่พวกเขาเลือกศึกษา ursolic acid เป็นเพราะว่างานวิจัยของพวกเขาก่อนหน้านี้ชี้ว่าเซลล์ในจานเพาะเลี้ยงที่ได้รับ ursolic acid มีกระบวนการเมตาบอลิซึมที่ตรงกันข้ามกับเซลล์กล้ามเนื้อหนูที่เสื่อมสภาพ ดังนั้นพวกเขาจึงอยากลองดูว่า ursolic acid จะให้ผลอะไรบ้างในร่างกายสิ่งมีชีวิต

นักวิจัยสันนิษฐานว่า ursolic acid คงไปกระตุ้นให้ตัวรับฮอร์โมน IGF1 (insulin-like growth factor-1) และ insulin ของเซลล์ทำงานได้ดีขึ้น ส่งผลให้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของฮอร์โมนในร่างกายหนู เป็นที่รู้กันดีว่าฮอร์โมน IGF1 (insulin-like growth factor-1) และ insulin ควบคุมการสร้างกล้ามเนื้อและสมดุลของน้ำตาล ดังนั้นไม่น่าแปลกใจเลยว่า นอกจากหนูจะมีกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นแล้ว ไขมันในร่างกาย, และปริมาณน้ำตาลและคอเลสเตอรอลในเลือดยังลดลงด้วย

ต่อไปถ้ามีโอกาสได้กินแอปเปิลก็ขอให้จำไว้ว่า ต้องกินทั้งเปลือก จึงจะเป็นการดีทั้งต่อสุขภาพ แถมยังไม่เปลืองอีกด้วย ผู้เชี่ยวชาญจึงอยากฝากไว้ว่า เวลารับประทานแอปเปิ้ลจึงไม่ควรปอกเปลือกออก เพียงล้างด้วยน้ำสะอาดให้สะอาดปราศจากสารพิษที่เคลือบผิวเปลือกแล้วก็เพียงพอ

ที่มา Gourmet & Cuisine / PhysOrg

เคล็ดลับสุขภาพที่เกี่ยวข้อง

โรคภัยไข้เจ็บ

แมงลัก กินดีอยู่ดีมีประโยชน์

แมงลัก ใครไม่รู้จักบ้าง รู้ไหมว่ามีประโยชน์มากมายนานาประการเลยทีเดียว เป็นต้นว่าเริ่มตั้งแต่ใบ ลำต้น เมล็ด ราก ฯลฯ เรียกได้ว่าทุกส่วน

โรคภัยไข้เจ็บ

ปวดหลัง สร้างปัญหาหนักอก

อาการปวดหลัง ยังคงเป็นอาการที่สร้างปัญหาและความทุกข์ทรมาน นำพาผู้ป่วยต้องมาพบแพทย์อีกเป็นจำนวนมาก

เคล็ดลับสุขภาพดี

โรคไต กับฟอสฟอรัส

จากเรื่องที่แล้ว โรคกระดูกพรุน ซึ่งแนะนำการจัดการเกี่ยวกับ แคลเซียม

เคล็ดลับผิวสวยใส

AHA Acid เคมีในผลิตภัณฑ์ ครีมผิวขาว

สารเคมีที่ถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ผิวขาว เพื่อให้ผิวได้ผลัดเซลล์ผิวเก่าสร้างผิวใหม่นั้น ชื่อว่า AHA (Alpha Hydroxy Acid) และยังมีอีกหลายตัว

เคล็ดลับผิวสวยใส

วิธีขัดผิวสวยทำเองที่บ้าน

การขัดผิวกายเผยผิวสวย ของสาวสวยส่วนใหญ่เน้นการใช้บริการของสปาทั้งหลาย มีไม่บ่อยที่จะทำหน้าที่ขัดผิวเองที่บ้าน

สุขภาพเต้านม ทรวงอก

คำถามควรรู้กับมะเร็งเต้านม

มะเร็งเต้านม (Breast cancer) เป็นมะเร็งที่พบบ่อยในผู้หญิงไทย โดยพบมากเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งปากมดลูก โดยสามารถพบได้ 1 ใน 10 ของผู้หญิง